โพคารา (Pokhara) เป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงเมืองหนึ่งของเนปาล ตั้งอยู่ห่างจากกรุงกาฐมาณฑุไปทางทิศตะวันตก 200 กิโลเมตร การเดินทางไปได้หลายทาง หากเดินทางด้วยรถตู้หรือรถส่วนตัว จะใช้เวลาอย่างน้อย 6 ชั่วโมง บนเส้นทางทั้งที่กำลังสร้าง และราดยางเสร็จแล้ว อันคดเคี้ยว ระไล่ตามไหล่เขาสูงไปตลอดทาง สำหรับคนที่กลัวความสูง ไม่ชอบความตื่นเต้น ขอแนะนำให้เดินทางไปเมืองนี้ด้วยเครื่องบิน เพราะจะประหยัดเวลาและลดความ "เสียว" ลงไปได้เกินครึ่ง แต่...จะพลาดวิวอันสวยงามของทิวเขาสูง ต้นไม้แปลกตา ลำธานคดเคี้ยวลดเลี้ยวตามไหล่เขา ตลอดเส้นทาง รวมถึงภาพการใช้ชิวิตของผู้คนที่อยู่บนที่สูงเสียดฟ้าแบบนั้น
โพคารา เมืองนี้เป็นเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมอันดับต้นๆ ของเนปาล อาจจะเป็นที่ 2 รองจากกาฐมาณฑุ เมืองหลวงของเนปาล จากที่นี่สามารถมองเห็นยอดเขาสูงได้ถึง 5 ยอด คือ Dhaulagiri, Manaslu, Machhapuchhre และAnnapurana เสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของโพคารา คือ เป็นเมืองที่มีทะเลสาบใหญ่ น้ำนิ่ง รอบๆ ทะเลสาบเป็นทิวเขาสูง กลางทะเลสาบมีเกาะเล็กๆ ซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดศักดิ์สิทธิ์ของชาวฮินดู
...จากที่เล่ามาทั้งหมดแปลว่า ถ้ามาเนปาล ไม่มาโพคารา ก็อาจจะเรียกได้ว่า มาไม่ถึง...
โพคารามีภูเขาสูงเหมาะจะทำกิจกรรม adventure ต่างๆ เช่น เดินป่า paragliding (ร่มร่อน) หรือการกระโดดจากหน้าผาสูง ร่อนร่มลงมายังจุดหมายด้านล่าง ยอดเขา Sarangkot ที่มีความสูงกว่า 1,600 ฟุต เป็นจุดหลักที่ใช้ในการเดินป่า และบินด้วยร่มร่อน ถ้าคุณไปถึงโพคารา จะพบว่ามีบริษัทที่เปิดให้บริการในการพานักท่องเที่ยวไปเดินป่า และร่อนด้วยร่มนี้มากมายหลายแห่ง
เปิดประสบการณ์ "ร่มร่อน"
ตอนแรกที่รู้ว่าจะแวะพักโพคาราสักสองสามคืน ฉันคิดเพียงว่าจะได้นั่งเรือเล่น นอนชิวดูวิวทะเลสาบ และเดินป่าแบบเบาๆ แต่กลุ่มที่ไปด้วยตกลงกันว่าจะไปลองเล่นร่มร่อน (paragliding) และคะยั้นคะยอให้ฉันร่วมกลุ่มไปด้วย
ราคาการใช้บริการกิจกรรมนี้สูงถึง 100 ดอลลาร์ ซึ่งถือว่าค่อนข้างแพงสำหรับฉัน แต่หลังจากคิดไปคิดว่า จะมาเนปาลกันสักกี่ครั้งเชียว ก็เลยตัดสินใจลองเสียหน่อย
บริการเล่นร่มร่อน หาได้ทั่วไปตามโรงแรมที่พักในโพคารา เจ้าถิ่นชาวเนปาลเลือก FLY TG Paragliding ฉันกลับกลุ่มเดินจากโรงแรมไปรอรถให้บริการพานักท่องเที่ยวไปร่อนร่ม ที่หน้าบริษัท ราวสิบโมง รถตู้ของบริษัทก็พาพวกเราไปยังยอดเขา Sarangkot จุดที่เป็นสถานที่ร่อนร่ม
เมื่อรถแล่นออกไปได้สักระยะ พนักงานคนหนึ่งในรถก็แนะนำการเดินทาง และกิจกรรมเที่ยวนี้ของพวกเราอย่างคร่าวๆ เน้นย้ำว่ากิจกรรมนี้ปลอดภัย ถ้าเราปฏิบัติตามข้อแนะนำของเขาอย่างเคร่งครัด หลังจากนั้น ก็ให้พวกเราแนะนำตัวเองสั้นๆ พอเป็นพิธี ก่อนจะเปิดโอกาสให้ถามข้อมูลที่อยากรู้
"คนที่อายุน้อยที่สุดที่พวกคุณเคยพาบินคือเท่าไหร่" คำถามของฉัน จริงๆ แล้วมันมีนัยแฝงว่า คนที่กล้าที่อายุน้อยที่สุด อายุเท่าไหร่
"สี่ขวบครับ" ราช หนึ่งในทีมร่มร่อนตอบ "เป็นเด็กยุโรปที่มาเที่ยวกับพ่อแม่" แววตาสีเข้มของคนตอบมองลึกมาที่ดวงตาของฉัน แล้วก็อมยิ้ม ราวกับเขาจะอ่านใจของฉันออก "ไม่ต้องห่วงครับ พวกผมเป็นมือโปร เราได้รับการฝึกมาแล้วอย่างดี"
"พวกคุณบิน เอ้ย ร่อนกันทุกวันหรือเปล่าคะ" คำถามแฝง ที่แปลได้ว่า .... พวกคุณมีประสบการณ์มานานแค่ไหน มากพอหรือยัง
คำถามนั้นได้คำตอบกลับมาเป็นแววตาไหวระริก
การแสดงออกแบบนั้นทำให้ฉันเม้มปาก "ฉันไม่ได้กลัว"
"ผมบินเกือบทุกวันครับ ที่นี่ร่อนร่มได้เกือบทุกฤดู มันมีความสวยที่แตกต่างกันตามฤดูกาล วันนี้ผมมีร่อน สี่รอบ" แววตาสีเข้มตอบมาอีกรอบ "ยังไม่เคยทำให้ผู้โดยสารของผมบาดเจ็บสักคน"
รถตู้ไต่ไล่ระดับจากตีนเขาสู่หน้าผาสูง ใช้เวลากว่ายี่สิบนาที จึงถึงหน้าผาที่ใช้ทำกิจกรรมนี้ เราพบว่ามีกลุ่มอื่นๆ ร่อนร่มกันไปบ้างแล้ว ดูได้จากกลุ่มคนที่รอคิวที่จะร่อน ก็รู้ได้ทันทีว่ามันเป็นกีฬา (หรือกิจกรรม) ที่ได้รับความนิยมไม่น้อย
ร่มร่อนขนาดกว้างหลายเมตรถูกกางออกอย่างชำนาญ ราชเดินมาหาฉัน และแนะนำการทำงานของร่ม "ไม่ต้องทำอะไร ตอนที่ผมบอกให้วิ่ง ก็วิ่ง ตอนที่บอกกว่ากระโดดก็กระโดด ทำตัวสบายๆ ที่สุด เข้าใจไหม"
ฉันพยักหน้า
"ครั้งนี้ครั้งแรกใช่ไหม"
ฉันพยักหน้าอีกรอบ
"ผมชอบมวยไทยนะ ฝึกอยู่ ทุกปีผมจะบินไปฝึกมวยไทยอย่างน้อยสองเดือน ปลายปีนี้ผมจะขึ้นชก" จู่ๆ เขาก็บอกแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ระหวางที่เขาติดอุปกรณ์ป้องกันความปลอดภัยไว้ที่ด้านหลังของฉัน
"ไม่เชื่อ" เขาถามเมื่อเห็นฉันมองตาเขางงๆ
"เปล่าค่ะ แค่แปลกใจ"
"ผมชอบเมืองไทยนะ เอาล่ะ ผมจะถ่ายรูปคุณ จะอัดวีดีโอให้ด้วย ยิ้มสวยๆ แล้วกัน....พร้อมหรือยัง"
"...."
เมื่อคำตอบคือเงียบ อีกฝ่ายจึงหัวเราะ ก่อนจะตบบ่าของฉันเบาๆ เขาเอากล้องขนาดเล็กติดไว้ที่ปลายไม้เซลฟี่ แล้วก็ดึงเอวฉันเข้าไปชิดตัวอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
"ยิ้มครับ ยิ้ม เอากว้างๆ หน่อย บอกให้โลกรู้ว่าเราจะไปผจญภัยกันแล้ว"
คนพูดกดกล้องรัวๆ จากนั้นก็ดึงฉันไปที่ร่มร่อน ติดอุปกรณ์เพื่อให้เขายืนซ้อนหลังฉันได้ และอุปกรณ์ผูกเราสองคนไว้ด้วยกัน
ฉันได้แต่กัดริมฝีปาก พูดอะไรไม่ออก เพราะว่าจริงๆ แล้ว ฉันกลัว.....
"ผมจะอยู่กับคุณ ไม่ต้องกลัวครับ" น้ำเสียงนุ่มๆ นั่นอยู่เบื้องหลัง "พร้อมนะครับ วิ่ง..."
จริงๆ แล้ว ฉันทำทุกอย่างไปตามสัญชาติญานและคำสั่งจากคนที่อยู่ด้านหลัง ถึงเวลานี้ จะเปลี่ยนใจก็ไม่ได้ จะขืนตัวก็อาจจะทำให้สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นเลวร้ายเกินคาดเดา ฉันจึงทำได้แต่เพียงวิ่ง และวิ่ง
"กระโดด!" เสียงท้ายสุดเมื่อปลายเท้าของฉันเกือบติดขอบหน้าผาสูง "ดีมากครับ คุณเก่งมาก"
ฉันไม่ได้ทำอะไร ฉันเพียงแต่ไม่ขัดขืน
"ทำตัวสบายๆ นะครับ คิดเสียว่าตอนนี้คุณเป็นนก" เสียงกล้องรัวจากปลายไม้เซลฟี่ "ยิ้มหน่อยสิครับ"
"ฉัน..." ฉันถอนหายใจอย่างโล่งอก การอยู่กลางอากาศ บนความสูงหลายร้อยฟุดไม่น่ากลัวอย่างที่คิด โดยเฉพาะเมื่ออยู่ภายใต้การดูแลของมืออาชีพ ฉันส่งยิ้มให้กล้อง ชูสองนิ้ว และบอกตังเองดังๆ ว่า ฉันทำได้แล้ว
"เป็นไง รู้สึกยังไงบ้าง สนุกขึ้นบ้างไหม"
ฉันพยักหน้า "สนุกค่ะ รู้สึก...มีอิสระ"
คนที่บินอยู่ข้างหลังหัวเราะ "ครับ นี่คือเสน่ห์ของมัน เราเหมือนนก ท้องฟ้าเป็นของเรา ไม่มีการผูกพัน ไม่มีเรื่องอะไรให้คิด เพียงแค่เปิดใจ รับความอิสระและ...ความสุข"
ฉันหัวเราะรู้สึกคล้อยตาม
"ผมบินวันละหลายครั้ง ทุกครั้งให้ความรู้สึกไม่เหมือนกันเลย..."
"ฉันเป็นลูกค้าที่ออกจะยากสำหรับคุณไหม"
"ไม่นี่" เขาตอบ "แต่ผมรู้ว่าคุณกลัว ไม่อยากมาตั้งแต่แรก ผมมองตาคุณออก"
ฉันปล่อยเสียงหัวเราะ "ใช่"
"แต่ผมรู้ว่าคุณจะชอบ คุณไม่ใช่คนที่ชอบอยู่นิ่งๆ คุณไม่ได้กลัว แค่ไม่รู้เท่านั้น"
ฉันไม่ได้ตอบอะไร
"ผมจะพาคุณไปตรงโน้น" คนนำทางชี้ไปยังทะเลสาบข้างหน้า "เราจะบินบนทะเลสาบกัน คุณจะรู้สึกว่านกมันรู้สึกอย่างไร"
ฉันไม่ปฏิเสธ สูดหายใจเข้าปอดลึก และกางแขน "ไปค่ะ"
หลังจบโปรแกรม ฉันได้ซีดีรูป และวีดีโอการร่อนร่มของตัวเองกับราชกลับมาเป็นที่ระลึก ได้รับความรู้สึกดีๆ และรอยยิ้มเป็นของขวัญ ได้รู้ว่าตัวเอง...กล้า และมีความสุขได้ ความสุขนั้น มันใกล้แค่เอื้อมเท่านั้นเอง
"ขอบคุณนะครับ ที่ใช้บริการของเรา คราวหน้า หวังว่า...จะได้บินกับคุณอีก"
"ขอบคุณเช่นกันค่ะ" ฉันตอบ และบอกไม่ได้ว่าจะมีครั้งหน้าหรือไม่
นั่นคือประโยคสุดท้าย ของบทสนทนาระหว่างฉันกับราช บนความสูงสุดใจนั้น
ส่องหนังสือเกี่ยวกับเนปาล