ไปไหนดี? มาญี่ปุ่นทั้งทีเจอฝน จะให้นั่งรถไฟใต้ดิน ไปห้าง ช้อปปิ้ง เดินเล่น ก็ไม่ใช่แนว เท่าไหร่
นั่งรถไฟเล่นดีกว่า ... ไปไหนซักที่ที่ไกลๆ
|
Shimabara จึงเป็นจุดหมายในทริปญี่ปุ่นวันนี้ เมืองที่ต้องเดินทางจากฟูกูโอกะไปทางใต้เกือบสามชั่วโมง ฉันออกจาก Hakata ราวเก้าโมง นั่งรถไฟจากสถานีหลักของฟูกูโอกะแห่งนั้นไปทางใต้ (JR Limited Express Kamome) ไปลงที่สถานี Isahaya จากนั้นต่อรถไฟแบบไม่ด่วน ( Shimabara Railway for SHIMABARAGAIKO) อีกเกือบๆ ชั่วโมง ไปลงที่สถานที่ Shimabara
สรุปแล้ว ผ่านไปเกือบสามชั่วโมง เท้าก็ก้าวลงที่สถานีรถไฟเล็กๆ ที่ยังคงสถาปัตยกรรมแบบเก่า ให้ความรู้สึกแตกต่างจากความวุ่นวายที่ Hakata มากมาย
ฝนหยุดตกแล้ว...สองเท้าโผล่จากสถานีมองตรงไปข้างหน้า ก็เห็นปราสาท Shimabara Castle ปราสาทสีขาวเล็กๆ ที่ใช้เวลาเดินทางสถานีไปราวห้านาทีเท่านั้นเอง
ด้วยความที่มันเล็ก นักท่องเที่ยวจึงไม่มาก ภาพรวมก็เลยไม่วุ่นวาย ข้างในปราสาทเป็นพิพิทธพันธ์ที่บอกเล่าเรื่องราวการเปลี่ยนแปลงของเมือง การปกครอง การรบ และเก็บรวมรวมเครื่องใช้สิ่งของต่างๆ ที่ยังหลงเหลืออยู่ เสียค่าเข้าแค่ 520 เยนเท่านั้น ก็นับว่าคุ้มอยู่ นอกจากนั้นชั้นบนสุดของปราสาท ยังเปิดโล่งทำให้สามารถมองเห็นภาพของเมืองไปไกลสุดหูสุดตา ได้ยืนนิ่งๆ มองภาพของเมือง แค่นั้นก็สุขสุดๆ แล้ว (ความสุขหาได้ง่าย ถ้าเราจะหามัน ใช่ไหม?)
หิวแล้ว! ออกจากปราสาทก็หิวสุดๆ เพราะออกจาก Hakata มาตั้งแต่เก้าโมงกว่าๆ เกือบสิบโมง กว่าจะเดินชมปราสาทเสร็จก็เที่ยง เพราะมาแบบไม่มีแผนที่ มีการวางแผนแบบหลวมๆ สุดๆ ก็เลยไม่รู้ว่าจะหาอะไรกินดี ในที่สุดก็ตัดสินใจว่าเดินไปเรื่อยๆ แหละ (วะ) เมืองเล็กขนาดนี้ ต้องเจอร้านสักร้าน
จากปราสาท เดินผ่านถนนเล็กๆ มาทางใต้ เจอซอยที่มีอาการคล้ายๆ กับตลาดในร่ม แต่ผู้คนไม่มีเลย (วันอังคารแบบนี้ ใครจะมาเดินตลาดตอนกลางวันกันล่ะ) ท้ายซอยมีร้านราเม็งเล็กๆ อยู่ร้านหนึ่ง เจ้าของร้านดูเป็นคุณลุงใจดี ก็เลยตัดสินใจเอาที่นี่แหละ
อยากจะบอกว่าราเม็งรสดีมาก (กกก) ไม่รู้ว่าหิวหรืออว่าฝีมือคุณลุงเข้าขึ้น Professional กันแน่ แต่ที่รู้ก็ซัดไปหมดชาม อิ่มจนจุก บอกตัวเองว่าคงกินอะไรไม่ลงไปอีกทั้งวันที่เหลือ
เดินกลับออกมาทางเดิม ผ่านร้านเล็กๆ ที่หน้าร้านเป็นเพียงประตูเล็กๆ มีรูปขนมอยู่หน้าร้าน ขนาดอิ่มยังเซไปดูรูป ชะโงกผ่านรั้วเข้าไป พบว่าเป็นบ้านไม้เล็กๆ น่ารักเชียว เจ้าของร้านออกมาทักทายและเชิญให้เข้าไปชมบ้าน ของเพียงแค่สั่งขนมเท่านั้น ก็สามารถไปนั่งเล่นได้ (เอิ่มลุงคะ หนูเพิ่งจะกินราเม็งชามเท่าบ้านหมดไปหนึ่งชามน่ะ)
บ้านญี่ปุ่นโบราณที่แทรกตัวอยู่ท่ามกลางบ้านสมัยใหม่หลังนั้นเงียบสงบ ร่มรื่น การได้นั่งนิ่งๆ มองสระน้ำที่มีปลาคร์าพสองสามตัว และเต่าตัวเขื่องต้อนรับ ทำให้ได้ความรู้สึกอิ่มใจอย่างบอกไม่ถูก บางทีความสุขก็หาได้ง่ายกว่าที่คิด เพียงแค่เราหยุด นิ่ง และไม่คิดถึงสิ่งอื่นใด นอกจากรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ธรรมชาติให้มาใกล้ตัว...เท่านั้น
แต่เมื่อเจ้าบ้านขอค่าชมบ้านเป็นเพียงค่าขนมหวาน เลยสั่งมาลองกินเล่น กะว่าจะชิมสักคำ แล้วก็พอ
ขนมมาเสิร์ฟ...ถ้วยแรกเป็นชาเขียวญี่ปุ่นกับขนมหวานที่ชื่ออะไรก็ไม่รู้ เดาเอาว่าคล้ายไดฟูกุใส้ถั่วแดง กินด้วยกันกับชาเขียวที่ออกรสขมแล้วกลมกล่อมดี อีกถ้วยเป็นเหมือนสาคูกับถั่วแดงเย็น กินกับน้ำเปล่า อร่อยไปอีกแบบเช่นกัน ละเลียดขนมไปมา เอิ่ม...เกือบหมด
นั่งอยู่ที่ระเบียงบ้านอยู่นานไม่อยากกลับเลย เพราะมันร่มรื่นมาก เจ้าของบ้านเดินมาชวนให้ไปชมบนบ้าน ซึ่งด้านบนเจ้าของสะสมของที่ระลึกเป็นแมวสารพัดแบบ น่ารักมาก คนญี่ปุ่นนี่รักแมวกันจริงจังมาก ไม่ว่าจะไปไหน มีเรื่องราว เหตุการณ์ กิจกรรมที่เกี่ยวกับแมวตลอด
บ้านหลังนี้มาอ่านรีวิวทีหลัง ฝรั่งเรียกว่า House of sweets มีฝรั่งมารีวิวกันไม่กี่คน แต่ทุกคนก็ประทับใจกันมากมาย แต่นี่ ยังไม่ใช่ highlight ของการมา Shimabara ในวันฝนพรำแบบนี้
ถัดจากบ้านโบรานที่มีขนมอร่อยและน่านั่งเขียนนิยายมากมาย ก็เดินเล่นมาเรื่อยๆ แบบมีจุดหมาย จุดหมายต่อไปของคือ คาร์พ สตรีท (Carp Street:Koi No Mizube Michi) เป็นถนนสายที่มีปลาคาร์พว่ายในท่อระบายน้ำ ย้ำ ท่อระบายน้ำจริงๆ และปลาคร์าพจริงๆ ตัวโตกว่าท่อนแขน
เดินมาจากบ้านขนมหวานเพียงประมาณห้านาที ก็ถึง carp street เสียงสายน้ำไหลเบาๆ บนถนนร้างผู้คนเพราะเป็นวันทำงาน เดินผ่านพบเพียง (เดาเอาว่า) เจ้าหน้าที่ของการท่องเที่ยวท้องถิ่นที่โค้งให้ ก่อนจะเชิญชวนให้ไปที่บ้านหลังหนึ่ง
บ้านหลังนี้เป็นโบราณที่เมืองอนุรักษ์ไว้และเปิดให้เยี่ยมชม เจ้าของบ้านใจดี มีชาเขียวอุ่นๆ มาเสิร์ฟ มาทักทาย พูดคุย และปล่อยให้เรานั่งชิวได้ (อีกแล้ว) บนเสื่อตาตามิ สามารถหย่อนเท้าลงใกล้น้ำ และมองดูปลาว่ายไปมา ท่ามกลางสายลมอ่อนๆ และบรรยากาศเงียบสงบ
สายลมอ่อนโชยมา ใบไม้ ต้นไม้เขียวสดเพราะฝนตกมาหลายวัน โลกเหมือนหยุดหมุนไปชั่วขณะ...เป็นขณะที่รับรู้ได้ว่า การเข้าถึงสิ่งที่เรียบง่าย เป็นธรรมชาติ เป็นธรรมดา มันให้ความรู้สึกอิ่มใจแบบนี้นี่เอง
ฉันเดินทางกลับมา Hakata ด้วยรถไฟ และใช้เวลานานกว่าเดิมเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม การใช้เวลาถึงหกชั่วโมงในการเดินทางไปกลับ ไม่ได้ทำให้รู้สึกเหนื่อยแต่อยางใด สิ่งที่ได้คือความเต็มอิ่ม และความรู้สึกอิจฉา ที่คนที่ Shimabara สามารถรักษาบางสิ่งบางอย่างที่เป็นตัวตนของคนท้องถิ่น มีความเป็นธรรมชาติ และเรียบง่ายไว้ได้ ด้วยความภาคภูมิใจในสิ่งนั่นเสียด้วย
ฉันเดินทางกลับมา Hakata ด้วยรถไฟ และใช้เวลานานกว่าเดิมเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม การใช้เวลาถึงหกชั่วโมงในการเดินทางไปกลับ ไม่ได้ทำให้รู้สึกเหนื่อยแต่อยางใด สิ่งที่ได้คือความเต็มอิ่ม และความรู้สึกอิจฉา ที่คนที่ Shimabara สามารถรักษาบางสิ่งบางอย่างที่เป็นตัวตนของคนท้องถิ่น มีความเป็นธรรมชาติ และเรียบง่ายไว้ได้ ด้วยความภาคภูมิใจในสิ่งนั่นเสียด้วย
เป็นอีกวันที่น่าจดจำ และคงจะอยู่ในความระลึกถึงไปอีกนาน...Shimabara
No comments:
Post a Comment