Wednesday, November 16, 2016

ทำการ์ดปีใหม่ การ์ดอวยพร การ์ดแต่งงาน ด้วยโปรแกรมแต่งรูป PAINT.NET





โปรแกรม PAINT.NET เป็นโปรแกรม open source สำหรับการตกแต่งรูปภาพ คำว่าโอเพนซอร์ส คือ กลุ่ม software ที่เปิดเผย source code ของโปรแกรม ทำให้ผู้ที่ต้องการพัฒนาต่อสามารถแก้ไข ดัดแปลง source code ได้หมด ซึ่งเป็นการให้สิทธิเสรีแก่ผู้ที่จะนำไปใช้เพื่อการพัฒนาซอฟต์แวร์ร่วมกันใน ลักษณะของสังคมซอฟต์แวร์ [1]

สิ่งที่เราจะต้องเตรียม

1.ดาวโหลดโปรแกรมฟรี PAINT.NET จากเว็บ paint.net จากนั้นให้ install ลงเครื่อง
2.รูปที่ใช้เป็น background ซึ่งถ้าไม่มีอาจไปหาได้จากเว็บฟรีต่างๆ ที่เปิดให้ดาวโหลดรูปมาใช้งานส่วนตัว ไม่ใช่เพื่อการค้าได้
3. ดาวโหลดตัวหนังสือแบบสวยๆ เก๋ๆ โดยแนะนำให้โหลดจากเว็บ f0nt.com ซึ่งเว็บนี้มีฟอนต์สวยๆ ฟรีให้ดาวโหลดมากมาย


เว็บ www.f0nt.com


รูปภาพฟรี ดาวโหลดจาก freepik.com



จากนั้นมาเริ่มกันเลยเปิดโปรแกรม PAINT.NET ขึ้นมาจะมีหน้าตาดังรูปด้านบ่าง


จะเห็นได้ว่าลักษณะโครงสร้างของโปรแกรมจะแบ่งออกเป็น 4 ส่วนหลัก ได้แก่

1. พื้นที่ทำงาน พื้นที่สร้างรูป หรือการ์ด ซึ่งพื้นที่สีขาวคือขอบเขตของรูปภาพที่เราจะทำงานด้วย สามารถปรับขนาดโดยเข้าไปที่คำสั่ง Image->Resize และกำหนดขนาดของรูปตามเหมาะสม
2. Colors หรือ ชุดแถบสี ใช้เลือกสีที่ต้องการ มาแต่งรูป หรือกำหนดสีที่ตัวอักษร โดยคลิกเข้าไปใสถาดแถบสี
3.  Layers หรือ ส่วนแสดงและจัดการระดับของชั้นภาพหรือ เลเยอร์ของรูปภาพ เป็นส่วนที่ช่วยให้จัดแต่งภาพได้ง่าย โดยการแบ่งเป็นชั้นๆ ของการทำงานไม่เกี่ยวข้องกัน
4. Tools หรือ ชุดเครื่องมือสำหรับการปรับแต่งรูป เราสามารถใช้ใช้เมาส์คลิกเลือก Tool ที่ต้องการ แล้วเลื่อนเมาส์เข้ามาในโซน 1 เพื่อแต่งรูป

เริ่มด้วยให้เปิด file รูปที่จะนำมาใช้เป็น background ของการ์ดขึ้นมา โดยใช้คำสั่ง File->Open ไปคลิกเลือก folder ทีเก็บรูปและเปิดรูปออกมา ดังภาพ


จากนั้นทำการสร้าง Layers ใหม่ ขึ้นมาหนึ่งชั้น เพื่อเป็นชั้นสำหรับวางตัวหนังสือ เพื่อไม่ให้ตัวหนังสือปนกับภาพพื้นหลัง ทำให้เรากลับมาแก้ไขการ์ดได้ง่ายกว่า การเพิ่ม Layers ทำได้โดยกดปุ่ม Add layers ปุ่มด้านล่างซ้ายสุดของเมนู Layers ดังภาพ หลังจากนั้นจะมี Layer ขึ้นมา 1 Layer (ในภาพขึ้น Layer 2)




จากนั้นเราะได้ Layers หรือ ชั้นเพิ่มขึ้นมาหนึ่งชั้น เป็นชั้นว่างๆ โปร่งใส พร้อมสำหรับการนำตัวหนังสือมาว่าตกแต่ง โดยไปที่ Tools ที่มีตัว "T" ดังรูปด้านล่าง

 จากนั้น เลือกสีของตัวอักษรจากแถบ Color ทำการคลิกเลือกสีที่ต้องการได้เลย


จากนั้นให้เลือกรูปแบบตัวอักษรที่ต้องการ และขนาดของตัวอักษรที่เหมาะสม ดังรูป (การสราง Layer หลายๆ อัน จะทำให้เราสามารถทำตัวอักษรได้หลายขนาด และหลายนี)



พิมพ์ข้อความที่บนการ์ดได้เลย โดยมีข้อแนะนำว่า หากมีข้อความหลายบรรทัดให้แยก Layers เพื่อความสะดวกในการลากตัวหนังสือย้ายไปมา เพื่อตกแต่งให้สวยงาม


จากภาพด้านบนจะเห็นได้ว่า ตัวหนังสือยังดูกลืนกับภาพเกินไป ให้ทำพื้นหลังให้ตัวหนังสือ โดยสร้าง Layers ใหม่ขึ้นระหว่าง ภาพพื้นหลังกับตวหนังสือ และทำพื้นให้ตัวอักษรดังภาพ


จากนั้น ทำ Layers สีแดง ให้จางลงเล็กน้อย เพื่อความสวยงาม ด้วยการคลิกที่ Layers นั้น แล้วคลิก Opacity เลือกเลื่อนลงมาให้เกิดความโปร่งแสงของชั้นภาพ ดังรูปเลือกระดับ Opacity ที่ 146


จะได้ภาพการ์ดดังรูป


จากตัวอย่าง ถือว่าเป็นการสอนทำการ์ดแบบง่ายๆ ทั้งนี้ หากเราเชี่ยวชาญมากขึ้น  ทำบ่อยๆ ขึ้น สามารถนำรูปมาตัดต่อ ตัดแปะเพิ่มเติม หรือเพิ่มข้อความ ลูกเล่นต่างๆ เพื่อความสวยงามของภาพได้มากกว่านี้

หลังจากเรียกร้อย ให้กด Save as ใส่ชื่อ และเลือกประเภทพนามสกุลภาพที่ต้องการ เป็นอันเสร็จงาน



อ้างอิง
[1] http://www.apptepschool.com/passive-income-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B9%88/


iam-sirinda Nov.2016


Passive income มาสร้างรายได้ด้วยการเขียนหนังสือกันเถอะ

จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยากสำหรับการเขียนหนังสือสักเล่มให้จบ และนำไปขายเพื่อสร้างรายได้แบบต่อเนื่อง ถือเป็น “รายได้เชิงรับ” หรือ “รายได้ที่ไม่ได้มาจากการที่เราออกแรงทำงานโดยตรง” กล่าวคือ ถึงแม้ไม่ได้ทำงาน ของหรืองานที่ทำไว้ ก็ยังทำให้มีเงินไหลเข้ากระเป๋าของเราได้อยู่เรื่อยๆ   หนังสือเป็นหนึ่งใน Passive income เพราะเราเขียนครั้งเดียวสามารถนำมาพิมพ์ได้หลายครั้ง ขายได้หลายช่องทาง เก่าแล้ว ก็ยังมีคนอยากอ่าน เรียกว่า เหนื่อยครั้งเดียว สามารถมีรายได้มาเรื่อยๆ หากเขียนได้น่าสนใจ น่าอ่านจริงๆ วันนี้ขอแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวในการมีรายได้จากการเขียนหนังสือ ซึ่งทำมาแล้วหลายปี มีรายได้เรื่อยๆ จริงๆ จะมากบ้างน้อยบ้าง แต่ก็ถือว่ามีความสุขไปด้วย ได้เงินไปด้วย โดยหวังว่าการแชร์คราวนี้จะมีประโยชน์กับทุกท่านบ้าง



เขียนหนังสือทำไม ?

มีเหตุผลดีๆ มากมายที่คุณจะลุกขึ้นมาเขียนอะไรสักอย่าง สิ่งแรกเลยคือการได้บอกเล่าเรื่องของเราให้คนอื่นได้รู้ มีนักเขียนหน้าใหม่หลายคนเกิดขี้นมาจากวิธีการเหล่านี้ เช่น นักเขียนที่เขียนเรื่อง How to ต่างๆ ที่เล่าวิธีการไปสู่ความสำเร็จของตัวเองเพื่อให้คนอื่นๆ ได้ใช้เป็นแนวทางทำตาม เป็นต้น บางทีเราคิดว่าเรื่องของเราไม่น่าสนใจ แต่ถ้าคุณไปดูหนังสือในร้านหนังสือ มีหนังสือหลากหลายประเภท คนอ่านต้องการความแตกต่าง และต้องการรู้หลายๆ เรื่อง เรื่องเล็กๆ ของเรา อาจเป็นเรื่องที่หลายคนชอบ และสนใจจะติดตามก็ได้


 นอกจากได้บอกเรื่องของเรา บางทีเราก็สามารถใช้บอกเล่าเรื่องราวของคนที่เราอยากพูดถึง อาจจะเป็นคนรู้จัก คนที่เราชื่นชม หรือผลงานต่างๆ ที่เราชอบและรวบรวมมา


ข้อดีอีกอย่างของการเขียนก็คือ มันสามารถสื่อสารได้มากมาย ใส่รายละเอียดเบื้องหลังเบื้องลึกได้มาก บางคนไม่ชอบพูด พูดไม่ได้ (มีความบกพร่องทางการพูด) การเขียนจึงเป็นอีกช่องทางที่จะบอกความในใจได้หลายหลากมิติ ที่สำคัญการเขียนทำให้เราได้คิด ได้ไตร่ตรอง มากกว่าการพูดมากมาย


การเขียนจึงเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่เชื่อว่า ใครๆ ก็ทำได้ ถ้ามีใจรักจริง และมุ่งมั่นกับงานทางนี้ เอาล่ะ...มาเริ่มกันเลยว่าเราจะเริ่มหัดเขียนกันได้อย่างไร 

การเขียนต้องหัด ต่องทำสม่ำเสมอ ต้องไม่รีบร้อนมาก ทำเรื่อยๆ ทำบ่อยๆ แล้วจะดีขึ้น และค่อยๆ หาทางของตัวเองจนในที่สุดจะพบแนวที่เหมาะสม


 เขียนเรื่องอะไรดี?

 คำถามที่มักจะถูกถาม เพราะบางทีเราก็จนใจว่าจะเขียนเรื่องอะไรดี มีข้อแนะนำง่ายๆ ว่า - - ง่ายที่สุด คือเขียนเรื่องใกล้ตัว เรื่องที่เรารู้จักดี เรื่องที่เราชื่นชอบ เรื่องที่เราค้นคว้ามานาน งานอดิเรกแปลกๆ สรุปก็คือ ถ้าเริ่มจากเขียนอะไรที่เรามีความสุขที่จะเขียนมันบ่อยๆ ก็เอาเรื่องนั้นก่อนได้เลย ที่สำคัญ สิ่งที่ควบคู่กับการฝึกเขียน คือการอ่านให้มาก อ่านให้หลายแนว เพื่อเราจะได้รวบรวมข้อมูล วิธีการเขียน รูปแบบต่างๆ มาให้ได้เลือกใช้ และสร้างเป็นแนวทางการเขียนของเราได้

บางคนเริ่มจากการเขียนบันทึกประจำวัน แล้วก็ขยายไปสู่บล็อกในเว็บ ไปสู่นิยาย เรื่องเล่า เรื่องราวของการท่องเที่ยว เรื่องของสะสมแปลกๆ ได้หมด





 เขียนแล้วเอาไปไว้ที่ไหน?

เราจะเริ่มเผยแพร่ผลงานของเราได้อย่างไร ถ้ายังไม่พร้อมที่จะพิมพ์ เพราะยังเพิ่งเริม ปัจจุบันเทคโนโลยีช่วยเรื่องนี้ไ้ดมาก มีคำแนะนำว่า เราอาจฝากหรือเสนอไว้ในเว็บต่างๆ ที่เขาให้บริการ เรียกว่าการเขียน blog หรือเขียนยาวๆ จนจบและทำเป็นหนังสือ ซึ่งปัจจุบันสามารถทำเป็นหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-book ซึ่งไม่ต้องผ่านโรงพิมพ์กันแล้ว





สำหร้บนิยาย ที่คนเขียน blog นี้ถนัด มีขั้นตอนคร่าวๆ 6 ขั้นตอน ดังนี้


ขั้นตอนทั้ง 6 ขั้นตอนนี้เป็นเรื่องที่จำเป็น แต่สำหรับนิยายบางทีไม่มีรูป ขั้นตอนเรื่องหารูปประกอบก็ตัดออกไป สำหรับครั้งต่อไป จะมาแนะนำกันถึงวิธีการอับโหลดหนังสือขึ้น e-book market อย่างง่ายๆ เพื่อที่ทุกคนจะได้เห็นว่า การสร้าง passive income จากการทำหนังสือนี่ มันไม่ยาก แถมได้ความสุขจากการได้แบ่งปันความรู้ ความรู้สึกนึกคิดของเราอีกด้วย

ถ้าใครที่สนใจนิยาย อยากรู้ว่าเขียนพลอตนิยายเขาทำกันอย่างไร ให้ไปอ่านที่นี่ได้เลย


iam-sirinda: Nov-2016










เขียนนิยาย
รตชา (กีรตี ชนา)
www.mebmarket.com
ศาสตร์และศิลป์สู่เส้นทางนักประพันธ์แนวทางการเขียนนิยายฉบับสมบูรณ์ ตั้งแต่ประโยคแรกจนถึงบทสุดท้ายนำเสนอแนวทางการเขียนนวนิยายที่ รตชา นำมาจากประสบการณ์เมื่อได้เข้าคอร์สฝึกการเขียนนิยายแบบเวิร์คชอป ในสหรัฐอเมริกา โดยนำวิธีคิดและปฏิบัติด้วยทฤษฎีการเขียนนิยายของนักประพันธ์ทั้งในอดีตและปัจจุบันเป็นลำดับขั้นตอน เข้าใจง่าย ตั้งแต่การสร้างตัวละคร, การใช้มุมมองผู้เล่า, สร้างฉากเหตุการณ์, พล็อต, บทสนทนา, จัดฉาก, บทบรรยาย, ธีมเรื่อง, สร้างสไตล์การเขียน จนถึงการตั้งชื่อเรื่อง และการเขียนบทจบ**** หวังว่าตัวอย่างแม้เพียง 100 หน้าจะช่วยให้ทุกคนที่คิดจะเขียนนิยาย ได้แรงบันดาลใจ และความรู้ไปใช้ไม่มากก็น้อยนะคะ

Saturday, November 5, 2016

แหล่งรวมรูปสวย ใช้ฟรี ดีจริง

ของฟรีไม่มีในโลก...อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่จริงเสมอไปแล้ว สำหรับกรณีรูปภาพที่สามารนำมาใช้ประกอบการทำเว็บ โปสเตอร์ หรือภาพ Info-graphics ต่างๆ ตอนนี้มีเว็บหลายเว็บที่เริ่มเปิดให้ดาวโหลดฟรี บางส่วน และขายบางส่วน

เว็บเหล่านี้ได้อะไร..ง่ายๆ คือคนสร้างเว็บจะได้ฐานลูกค้ามหาศาลมาก ถ้าคุณทำเว็บโดยที่คิดเงินคนใช้อย่างเดียว เราจะเข้าเว็บนั้นครั้งเดียว แล้วก็ลาจาก แต่การที่มีอะไรฟรีๆ มีเงื่อนไขเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ผูกมัดมากนัก จะทำให้ผู้ท่องเว็บ เข้าไปหาของฟรีต่างๆ พอใช้ไปใช้มา ก็อาจจะมีการจ่ายเงิน หรือยอมจ่ายในบางส่วนเพื่อแลกกับบริการที่ดีขึ้นนั่นเอง

ถือเป็นวิธีทางการตลาดที่หลายเว็บเอามาใช้กัน ถ้าเป็นภาษาการตลาดก็จะเรียกลักษณะนี้ว่า Freemium [1] นั่นเอง

เว็บที่จะมาแนะนำเพื่อให้ไปเอารูปภาพมาใช้งานมี 2 เว็บด้วยกันโดยแต่ละเว็บมีเงื่อนไขต่างกัน มาดูกันเลยดีกว่า

เว็บแรก เว็บไซต์ที่เน้นไปทาง Info-graphics ชื่อเว็บว่า feepik.com


เว็บนี้รวม info-graphics สวยๆ ไว้เยอะมาก เขาเคลมว่ามีรูปสวยๆ ใหม่ๆ ขึ้นวันละเป็นร้อยรูปทุกวัน  ถ้าใครกำลังหา รูปสวยๆ เอาไปประกอบทำโปสเตอร์ การ์ด แผ่นพับ สามารถมาเลือกจากเว็บนี้ได้เลย วิธีการก็คือ หารูปจากคำค้นด้านบน (เว็บนี้ไม่ต้องสมัครก็ค้นข้อมูลได้ และดาวโหลดได้) ตัวอย่าง เราลองค้นคำว่า "love"


ก็จะได้รูปสวยๆ ออกมามากมาย รูปแถวบนสุด เป็นรูปที่มาจากเว็บสปอนเซอร์ ้ถ้าหากคลิกไป ก็จะเข้าไปเว็บที่เราต้องเสียเงินจึงจะดาวโหลดได้ แต่ถ้าคลิกในบรรทัดที่สอง ก็จะดาวโหลดมาใช้ได้ สมมติเราเลือกที่รูปหัวใจสีชมพูหนึ่งดวงตามภาพ


จะมีปุ่มสีเขียวขึ้นด้านขวามือ เขียนว่า "Free Download" ตรงนี้สามารถคลิกดาวโหลดได้เลย โดย file ที่ได้จะเป็น .zip files ที่จะมี file ลิขสิทธิ์ และรายละเอียดเงื่อนไขในการใช้ติดมาด้วย หากดาวโหลดมาแล้วก็ขอให้ดำเนินการตามเงื่อนไข เช่น จะต้องระบุว่าเอารูปมาจากเว็บนี้ในเอกสาร เพื่อเป็นการให้เครดิตเป็นต้น

แต่หากเราอยากจะใช้แบบไม่มีเงื่อนไขให้ไปสมัครสมาชิก ซึ่งค่าสมาชิกคิดประมาณเดือนละ 10$ หรือ 350 บาท เราสามารถดาวโหลดได้ทุกรูป เอามาใช้ได้โดยจะมี file ที่ระบุอนุญาติให้เราใช้ในเชิงลิขสิทธิ์ติดมาพร้อมก้นด้วย (จะมี file แนบมาสองสาม file ตั้งแต่ file รูป, ลิขสิทธ์, ตัวอักษร ฯลฯ)

นอกจากนั้นรูปที่เราดาวโหลดมา สามารถแก้ไข ตัดแปลงได้โดยไม่ผิดอีกด้วย และหากดาวโหลดจนพอใจแล้วจะหยุดการเป็นสมาชิก ก็ย่อมได้

ข้อดีอีกอย่างหนึ่งของเว็บนี้ก็คือ  file ที่ให้มามีทั้ง .jpg .ai .esp .psd ซึ่งสามารถเอาไปตัดต่อ แต่งได้ง่ายในโปรแกรมต่างๆ ตามถนัด และมีขนาดใหญ่พอสมควรสำหรับทำงาน

เว็บที่สองที่จะแนะนำจะต่างกับเว็บแรกเล็กน้อย คือเป็นเว็บที่เน้นรูปภาพเหมือนจริงหรือรูปถ่าย ชื่อว่า picjumbo.com มีลักษณะเงื่อนไขการให้บริการคล้ายๆ กันกับเว็บแรกเลย


นั่นคือดาวโหลดเอาไปใช้ได้ฟรี โดยเว็บนี้ใจป้ำถึงขนาดว่าเอาไปใช่เชิงพาณิชย์ได้ฟรีด้วยสำหรับขนาดที่ใช้งานกราฟฟิกทั่วๆ ไปได้ แต่ถ้าจะเอา file ละเอียดโคตรๆ แบบขนาดใหญ่มาก ก็สามารถสมัครสมาชิกและดาวโหลดมาใช้ได้ โดยสมาชิกจะได้เห็นภาพที่จำนวนมากกว่า และสวยๆ กว่าคนที่ไม่ได้เป็นสมาชิก

ตัวอย่าง หากเราค้นคำว่า "computer" บนมุมขวาของเว็บ ก็จะได้รูปกลุ่มนี้ออกมา [ตัวอย่างเฉพาะบางรูปไม่ใช่ทั้งหมด]


ขนาดรูปที่ให้ดาวโหลดฟรียังสวยขนาดนี้ แบบจ่ายเงินจะสวยกว่าแค่ไหน จินตนาการเอาก็แล้วกัน คนที่ทำเว็บ ทำบล็อกก็จะมีรูปสวยๆ ใช้ได้แทบไม่จำกัด

ปัจจุบันมีเว็บไซต์ที่ให้บริการอย่างนี้อยู่มากมาย ซึ่งก็จะเป็นประโยชน์มากกับคนทำงานอย่างเรา ที่ไม่ได้มีทักษะขั้นสูงในการสร้างรูป หรือถ่ายรูป แต่ต้องการเอารูปสวยๆ ไปใช้งานเพื่อให้งานดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น อย่างไรก็ตามกรุณาอ่านเงื่อนไขการใช้งานของรูปทุกรูปอย่างละเอียดก่อนนำมาใช้งานเสมอ และหากมีโอกาส ก็อาจจะจ่ายเงินสนับสนุนผู้จัดทำเว็บบ้างในกรณีที่ใช้รูปที่มีขนาดใหญ่ หรือในเชิงพาณิชย์ เพื่อเป็นการสนับสนุนการทำงานของเว็บเหล่านี้ และทำให้เว็บเติบโตเพิ่มขึ้นด้วย


อ้างอิง
[1] https://en.wikipedia.org/wiki/Freemium

เป็นจริงได้ !!! สร้างรายได้ด้วยการเขียนนิยายอีบุ๊ค

Thursday, November 3, 2016

สร้างปกหนังสืออย่างง่าย ... โดยการใช้โปรแกรมฟรี PAINT.NET

โปรแกรม PAINT.NET เป็นโปรแกรม open source สำหรับการตกแต่งรูปภาพ คำว่าโอเพนซอร์ส หมายถึงวิธีการในการออกแบบ พัฒนา และแจกจ่ายสำหรับต้นฉบับของสินค้าหรือความรู้ โดยเฉพาะซอฟต์แวร์ โดยโอเพนซอร์ซถูกพิจารณาว่าเป็นทั้งรูปแบบหนึ่งในการออกแบบ และแผนการในการดำเนินการ โดยโอเพนซอร์ซเปิดโอกาสให้บุคคลอื่นนำเอาระบบนั้นไปพัฒนาได้ต่อไป [1]


โปรแกรม PAINT.NET เป็นโปรแกรมที่ใช้งานง่าย เหมาะสำหรับคนที่ไม่มีความรู้เรื่องเทคนิคอะไรมาก อย่างไรก็ตาม คุณสมบัติบางอย่างอาจไม่เทียบเท่าโปรแกรมที่ต้องจ่ายเงินอื่นๆ เช่น Photoshop เราสามารถดาวโหลดโปรแกรมมาใช้ได้ฟรี โดยไม่มีปัญหาลิขสิทธิ์ โดยไปดาวโหลดได้ที่เว็บ PAINT.NET

เรามาเริ่มสร้างปกนิยายง่ายๆ กันเลย โดยสิ่งที่ต้องมีก็คือ รูปพื้นหลังปก [อ่านเพิ่มเติมที่หัวข้อเว็บฟรีแจกรูปสวยใช้ทำปกได้] หลังจากดาวโหลดโปรแกรมแล้ว ก็ให้เปิดโปรแกรมออกมา หน้าตาเป็นดังภาพ



1. พื้นที่ทำงาน ซึ่งพื้นที่สีขาวคือขอบเขตของรูปภาพที่เราจะทำงานด้วย สามารถปรับขนาดโดยเข้าไปที่คำสั่ง Image->Resize
2. Colors หรือ ชุดแถบสี ใช้เลือกสีที่ต้องการ มาแต่งรูป หรือกำหนดสีที่ตัวอักษร
3.  Layers หรือ ส่วนแสดงและจัดการระดับของชั้นภาพหรือ เลเยอร์ของรูปภาพ
4. Tools หรือ ชุดเครื่องมือสำหรับการปรับแต่งรูป เราสามารถใช้ใช้เมาส์คลิกเลือก Tool ที่ต้องการ แล้วเลื่อนเมาส์เข้ามาในโซน 1 เพื่อแต่งรูป

จากนั้นให้ตั้งขนาดปกก่อน เข้าไปที่คำสั่ง Image->Resize หากเป็น A5 ให้ใส่ขนาดเป็น 52.92 ซม. กับ  75.45 ซม. จะทำให้ขนาดรูปมีขนาดใหญ่พอสมควรเพื่อให้สามารถนำไปให้กับปกได้สวยงาม หากเป็นขนาด A5 ปกติซึ่งมีขนาด 14.8 x 21.1 ซม. รูปที่ได้จะมีขนาดเล็กเกินไป หากนำไปใช้ในปกก็อาจจะเล็กแต่ภาพแตกได้ [หลังจากทำงานเสร็จแล้ว อาจปรับขนาดรูปให้เล็กลง หรือใหญ่ขึ้นได้อีกที เพราะแต่ละเว็บที่ให้ขึ้น e-book จะให้ใส่ขนาดรูปไม่เท่ากัน]


จากนั้นเราจะได้พื้นที่ทำงานเป็นรูปที่มีสัดส่วนเป็น A5 ตามภาพ


ให้เปิดรูปที่เราต้องการนำมาเป็นพื้นหลังปก โดยเลือกที่ File->Open ในที่นี้จะเอารูปจากเว็บ freepik.com [2] มาใช้ 


จากนั้นเลือกรูปที่ต้องการโดยใช้เครื่องมือ Rectangle Select ดังรูป


จากนั้นให้ copy รูปดังกล่าวไปแปะที่พื้นที่สีขาวซึ่งเป็นหน้าปกที่สร้างไว้ก่อนหน้า โดยขอให้เลือก Paste in it New Layer


ได้รูปมาแปะที่ พื้นที่ทำงานดังรูป


เพิ่มชื่อนิยายโดยสร้าง Layer เพิ่ม 1 Layer สำหรับใส่ตัวอักษร การที่เราแยก Layer หรือชั้นของการทำงานออกจากกัน เพื่อให้การแก้ไขปรับปรุง หรือย้ายรูป หรือตัวอักษรเป็นไปอย่างง่ายนั้นเอง


จากนั้นคลิกที่ Tools รูปตัว T หรือ Tools สำหรับสร้างตัวอักษร เลือกรูปแบบตัวอักษร และขนาดที่ต้องการจากเมนู แล้วจึงพิมพ์ชื่อเรื่อง


จากรูปด้านบน สังเกตว่า ทำ Layer ตัวอักษร 2 Layers เพื่้อให้ได้ตัวหนังสือแต่ละบรรทัดที่สีต่างกัน และสามารถเลือกแต่ละ Layers เพื่อจัดตัวหนังสือให้สวยงามได้ โดยคลิกที่  Move Selected Pixels ตามรูป


จากนั้น แทรกรูปอื่นๆ หรือพิมพ์ข้อความอื่นๆ ให้สวยงาม ตามรูป

ภาพสุดท้ายหลังตกแต่งพื้นหลังด้วยการใส่ Layers ต่างๆ และแทรกรูปพื้นหลังและตัวอักษร จะได้ปกหนังสือตามรูปด้านล่าง 



จากนั้นให้ save รูปเป็น file โดยคลิก File -> Save as และเลือกนามสกุล . png จะได้รูปที่มีขนาดและรายละเอียดที่เหมาะจะเอาไปทำปกหนังสือ e-book ของเราได้

อ้างอิง
[1] https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%99%E0%B8%8B%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%8B
[2] freepik.com เป็นเว็บที่ให้บริการดาวโหลดรูปฟรี แต่ถ้าจะใช้ฟรีต้องระบุในปกในว่าเอารูปมาจากเขา แต่หากจะเอาไปใช้โดยไม่ต้องอ้างอิง ต้องสมัครสมาชิก โดยค่าสมาชิก ถูกมากประมาณเดือนละ 350 บาท ดาวโหลดได้ทุกรูป และมี file แบบที่แก้ไขได้พวก Ai, eps ด้วย

บทความที่เกี่ยวข้อง

แหล่งรวมรูปสวย ใช้ฟรี ดีจริง ขั้นตอน วิธีเขียนนิยาย...ทำรายได้ ไม่ยาก
เป็นจริงได้ !!! สร้างรายได้ด้วยการเขียนนิยายอีบุ๊ค


iam-sirinda  Nvember 2016


หนังสือ e-book ของ "สิรินดา"



เขียนนิยาย
รตชา (กีรตี ชนา)
www.mebmarket.com
ศาสตร์และศิลป์สู่เส้นทางนักประพันธ์แนวทางการเขียนนิยายฉบับสมบูรณ์ ตั้งแต่ประโยคแรกจนถึงบทสุดท้ายนำเสนอแนวทางการเขียนนวนิยายที่ รตชา นำมาจากประสบการณ์เมื่อได้เข้าคอร์สฝึกการเขียนนิยายแบบเวิร์คชอป ในสหรัฐอเมริกา โดยนำวิธีคิดและปฏิบัติด้วยทฤษฎีการเขียนนิยายของนักประพันธ์ทั้งในอดีตและปัจจุบันเป็นลำดับขั้นตอน เข้าใจง่าย ตั้งแต่การสร้างตัวละคร, การใช้มุมมองผู้เล่า, สร้างฉากเหตุการณ์, พล็อต, บทสนทนา, จัดฉาก, บทบรรยาย, ธีมเรื่อง, สร้างสไตล์การเขียน จนถึงการตั้งชื่อเรื่อง และการเขียนบทจบ**** หวังว่าตัวอย่างแม้เพียง 100 หน้าจะช่วยให้ทุกคนที่คิดจะเขียนนิยาย ได้แรงบันดาลใจ และความรู้ไปใช้ไม่มากก็น้อยนะคะ

ญี่ปุ่น: ชิมาบาระ ที่ที่ต้องไปดูปลาคร์าพ...ในท่อระบายน้ำ

ฝนตกแต่เช้า ประเมินจากความรู้สึกคาดว่าอุณภูมิลดลงต่ำกว่าสิบห้าองศา อากาศเย็นเพราะลม และฝันเม็ดบางๆ ที่สาดลงมาไม่ขาดสาย ผู้คนบริเวณสถานีรถไฟ Hakata ยังคงขวักไขว่ ต่างรีบเร่งเดินทาง ไม่สนใจละอองฝน และอากาศค่อนข้างเย็นทั้งๆ ที่เพิ่งต้นเดือนพฤษภาคมแบบนี้

ไปไหนดี? มาญี่ปุ่นทั้งทีเจอฝน จะให้นั่งรถไฟใต้ดิน ไปห้าง ช้อปปิ้ง เดินเล่น ก็ไม่ใช่แนว เท่าไหร่

นั่งรถไฟเล่นดีกว่า ... ไปไหนซักที่ที่ไกลๆ



Japan Kyushu เที่ยวญี่ปุ่น ฉบับตะลุย คิวชู ปรับปรุงใหม่ ครบ 7 จังหวัด
D+PLUS Guide Team
www.mebmarket.com
ตะลุยเที่ยว 31 เมืองใน 7 จังหวัด Fukuoka, Kumamoto , Nagasaki ,Saga , Oita , Kagoshima , Miyazaki ครบทุกบรรยากาศทั่วเกาะคิวชู ทั้งซากุระ ออนเซน วัด ศาลเจ้า ภูเขาไฟ ย่านซามูไร อาหารอร่อย แหล่งช้อปปิ้ง ขนมของฝาก และอัพเดทใหม่ทั้งที่ -เที่ยว -กิน -ช้อป พร้อมจัดทริปให้ 5 วัน 4 คืน หวังว่าหนังสือเล่มนี้จะเป็นตัวแทนของเราที่จะเป็นไกด์พาคุณไปตะลุยคิวชู



Shimabara จึงเป็นจุดหมายในทริปญี่ปุ่นวันนี้ เมืองที่ต้องเดินทางจากฟูกูโอกะไปทางใต้เกือบสามชั่วโมง ฉันออกจาก Hakata ราวเก้าโมง นั่งรถไฟจากสถานีหลักของฟูกูโอกะแห่งนั้นไปทางใต้ (JR Limited Express Kamome) ไปลงที่สถานี Isahaya จากนั้นต่อรถไฟแบบไม่ด่วน ( Shimabara Railway for SHIMABARAGAIKO) อีกเกือบๆ ชั่วโมง ไปลงที่สถานที่ Shimabara 




สรุปแล้ว ผ่านไปเกือบสามชั่วโมง เท้าก็ก้าวลงที่สถานีรถไฟเล็กๆ ที่ยังคงสถาปัตยกรรมแบบเก่า ให้ความรู้สึกแตกต่างจากความวุ่นวายที่ Hakata มากมาย



ฝนหยุดตกแล้ว...สองเท้าโผล่จากสถานีมองตรงไปข้างหน้า ก็เห็นปราสาท Shimabara Castle ปราสาทสีขาวเล็กๆ ที่ใช้เวลาเดินทางสถานีไปราวห้านาทีเท่านั้นเอง





ด้วยความที่มันเล็ก นักท่องเที่ยวจึงไม่มาก ภาพรวมก็เลยไม่วุ่นวาย ข้างในปราสาทเป็นพิพิทธพันธ์ที่บอกเล่าเรื่องราวการเปลี่ยนแปลงของเมือง การปกครอง การรบ และเก็บรวมรวมเครื่องใช้สิ่งของต่างๆ ที่ยังหลงเหลืออยู่ เสียค่าเข้าแค่ 520 เยนเท่านั้น ก็นับว่าคุ้มอยู่ นอกจากนั้นชั้นบนสุดของปราสาท ยังเปิดโล่งทำให้สามารถมองเห็นภาพของเมืองไปไกลสุดหูสุดตา ได้ยืนนิ่งๆ มองภาพของเมือง แค่นั้นก็สุขสุดๆ แล้ว (ความสุขหาได้ง่าย ถ้าเราจะหามัน ใช่ไหม?)






หิวแล้ว! ออกจากปราสาทก็หิวสุดๆ เพราะออกจาก Hakata มาตั้งแต่เก้าโมงกว่าๆ เกือบสิบโมง กว่าจะเดินชมปราสาทเสร็จก็เที่ยง เพราะมาแบบไม่มีแผนที่ มีการวางแผนแบบหลวมๆ สุดๆ ก็เลยไม่รู้ว่าจะหาอะไรกินดี ในที่สุดก็ตัดสินใจว่าเดินไปเรื่อยๆ แหละ (วะ) เมืองเล็กขนาดนี้ ต้องเจอร้านสักร้าน
จากปราสาท เดินผ่านถนนเล็กๆ มาทางใต้ เจอซอยที่มีอาการคล้ายๆ กับตลาดในร่ม แต่ผู้คนไม่มีเลย (วันอังคารแบบนี้ ใครจะมาเดินตลาดตอนกลางวันกันล่ะ) ท้ายซอยมีร้านราเม็งเล็กๆ อยู่ร้านหนึ่ง เจ้าของร้านดูเป็นคุณลุงใจดี ก็เลยตัดสินใจเอาที่นี่แหละ

อยากจะบอกว่าราเม็งรสดีมาก (กกก) ไม่รู้ว่าหิวหรืออว่าฝีมือคุณลุงเข้าขึ้น Professional กันแน่ แต่ที่รู้ก็ซัดไปหมดชาม อิ่มจนจุก บอกตัวเองว่าคงกินอะไรไม่ลงไปอีกทั้งวันที่เหลือ


เดินกลับออกมาทางเดิม ผ่านร้านเล็กๆ ที่หน้าร้านเป็นเพียงประตูเล็กๆ มีรูปขนมอยู่หน้าร้าน ขนาดอิ่มยังเซไปดูรูป ชะโงกผ่านรั้วเข้าไป พบว่าเป็นบ้านไม้เล็กๆ น่ารักเชียว เจ้าของร้านออกมาทักทายและเชิญให้เข้าไปชมบ้าน ของเพียงแค่สั่งขนมเท่านั้น ก็สามารถไปนั่งเล่นได้ (เอิ่มลุงคะ หนูเพิ่งจะกินราเม็งชามเท่าบ้านหมดไปหนึ่งชามน่ะ)



บ้านญี่ปุ่นโบราณที่แทรกตัวอยู่ท่ามกลางบ้านสมัยใหม่หลังนั้นเงียบสงบ ร่มรื่น การได้นั่งนิ่งๆ มองสระน้ำที่มีปลาคร์าพสองสามตัว และเต่าตัวเขื่องต้อนรับ ทำให้ได้ความรู้สึกอิ่มใจอย่างบอกไม่ถูก บางทีความสุขก็หาได้ง่ายกว่าที่คิด เพียงแค่เราหยุด นิ่ง และไม่คิดถึงสิ่งอื่นใด นอกจากรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ธรรมชาติให้มาใกล้ตัว...เท่านั้น


แต่เมื่อเจ้าบ้านขอค่าชมบ้านเป็นเพียงค่าขนมหวาน เลยสั่งมาลองกินเล่น กะว่าจะชิมสักคำ แล้วก็พอ
ขนมมาเสิร์ฟ...ถ้วยแรกเป็นชาเขียวญี่ปุ่นกับขนมหวานที่ชื่ออะไรก็ไม่รู้ เดาเอาว่าคล้ายไดฟูกุใส้ถั่วแดง กินด้วยกันกับชาเขียวที่ออกรสขมแล้วกลมกล่อมดี อีกถ้วยเป็นเหมือนสาคูกับถั่วแดงเย็น กินกับน้ำเปล่า อร่อยไปอีกแบบเช่นกัน ละเลียดขนมไปมา เอิ่ม...เกือบหมด

นั่งอยู่ที่ระเบียงบ้านอยู่นานไม่อยากกลับเลย เพราะมันร่มรื่นมาก เจ้าของบ้านเดินมาชวนให้ไปชมบนบ้าน ซึ่งด้านบนเจ้าของสะสมของที่ระลึกเป็นแมวสารพัดแบบ น่ารักมาก คนญี่ปุ่นนี่รักแมวกันจริงจังมาก ไม่ว่าจะไปไหน มีเรื่องราว เหตุการณ์ กิจกรรมที่เกี่ยวกับแมวตลอด

บ้านหลังนี้มาอ่านรีวิวทีหลัง ฝรั่งเรียกว่า House of sweets มีฝรั่งมารีวิวกันไม่กี่คน แต่ทุกคนก็ประทับใจกันมากมาย แต่นี่ ยังไม่ใช่ highlight ของการมา Shimabara ในวันฝนพรำแบบนี้



ถัดจากบ้านโบรานที่มีขนมอร่อยและน่านั่งเขียนนิยายมากมาย ก็เดินเล่นมาเรื่อยๆ แบบมีจุดหมาย จุดหมายต่อไปของคือ คาร์พ สตรีท (Carp Street:Koi No Mizube Michi) เป็นถนนสายที่มีปลาคาร์พว่ายในท่อระบายน้ำ ย้ำ ท่อระบายน้ำจริงๆ และปลาคร์าพจริงๆ ตัวโตกว่าท่อนแขน











เดินมาจากบ้านขนมหวานเพียงประมาณห้านาที ก็ถึง carp street เสียงสายน้ำไหลเบาๆ บนถนนร้างผู้คนเพราะเป็นวันทำงาน เดินผ่านพบเพียง (เดาเอาว่า) เจ้าหน้าที่ของการท่องเที่ยวท้องถิ่นที่โค้งให้ ก่อนจะเชิญชวนให้ไปที่บ้านหลังหนึ่ง




บ้านหลังนี้เป็นโบราณที่เมืองอนุรักษ์ไว้และเปิดให้เยี่ยมชม เจ้าของบ้านใจดี มีชาเขียวอุ่นๆ มาเสิร์ฟ มาทักทาย พูดคุย และปล่อยให้เรานั่งชิวได้ (อีกแล้ว) บนเสื่อตาตามิ สามารถหย่อนเท้าลงใกล้น้ำ และมองดูปลาว่ายไปมา ท่ามกลางสายลมอ่อนๆ และบรรยากาศเงียบสงบ




สายลมอ่อนโชยมา ใบไม้ ต้นไม้เขียวสดเพราะฝนตกมาหลายวัน โลกเหมือนหยุดหมุนไปชั่วขณะ...เป็นขณะที่รับรู้ได้ว่า การเข้าถึงสิ่งที่เรียบง่าย เป็นธรรมชาติ เป็นธรรมดา มันให้ความรู้สึกอิ่มใจแบบนี้นี่เอง
ฉันเดินทางกลับมา Hakata ด้วยรถไฟ และใช้เวลานานกว่าเดิมเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม การใช้เวลาถึงหกชั่วโมงในการเดินทางไปกลับ ไม่ได้ทำให้รู้สึกเหนื่อยแต่อยางใด สิ่งที่ได้คือความเต็มอิ่ม และความรู้สึกอิจฉา ที่คนที่ Shimabara สามารถรักษาบางสิ่งบางอย่างที่เป็นตัวตนของคนท้องถิ่น มีความเป็นธรรมชาติ และเรียบง่ายไว้ได้ ด้วยความภาคภูมิใจในสิ่งนั่นเสียด้วย

เป็นอีกวันที่น่าจดจำ และคงจะอยู่ในความระลึกถึงไปอีกนาน...Shimabara